3401-2002 History of Costrum


1.sukhothaibook                                         2 Ayuthaya book 1 2 3

3 Ayuthaya book 4 5

5 Ruthanakosin 5

6 Ruthanakosin 6-7-8

7 Ruthanakosin 9

8 Assessorri D

9 EGYPT HD

10 GREEK HD

11 ROMAN HD

12 BYZANTINE HD

14 MYANMAR-LAOD-CAM...

15 VIETNAM-MALAYSIA

16 INDONESIA-SINGAP...

17 JAPAN-KOREAN

18 CHINA-INDIA

เรื่อง ประวัติการแต่งกายประเทศแอสซีเรีย อาณาจักรไปเซนไทน์

 

 

การแต่งกายของสตรีต่างประเทศ  แอสซีเรีย  อาณาจักรไปเซนไทน์

คำถามท้ายบท

                1.จงอธิบายลักษณะการแต่งกายของชาวแอสซีเรียมาให้เข้าใจ

                2.จงอธิบายลักษณะการแต่งกายของชาย – หญิงในอาณาจักรไบเซนไทน์

                3.จงวาดภาพการแต่งกายของชาวแอสซีเรีย  และอาณาจักรไบเซนไทน์มาอย่างละ  1  ภาพ

 

 

  l l l  l   l l l  l  l ๑๐  l๑๑ l๑๒l ๑๓l ๑๔l ๑๕ l๑๖ l๑๗ l๑๘ l๑๙

 

 

 

   

ศึกษาเพิ่ม

http://en.wikipedia.org/wiki/Byzantine_Empire 

 

  เกี่ยวกับเวบ 

ธำรงรักษาศิลปวัฒนธรรมไทย

วิทยบริการ

ผลงานนักเรียน

 9 Student  Designer รุ่น 1 ,2 ,3

 ติดต่อเรา  

เว็บบอร์ด  1  2    3   

 

 

ยินดีต้อนรับสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับผู้สนใจ หลักสูตรระยะสั้น

โครงการ 108 อาชีพ สามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง [ตามอัธยาศัย] ไม่มี LOG IN

1.วิชาการออกแบบประวัติเครื่องแต่งกายไทยประยุกต์ คลิ๊กที่นี่ 

2. วิชาการออกแบบเครื่องแต่งกายต่างประเทศประยุกต์  คลิ๊กที่นี่

      
         
                                                      
   
           
                           

รอโหลดภาพสไลด์ด้านบนสักครู่ค่ะ( ดับเบิ้ลคลิก เพื่อขยายใหญ่)

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

LAMPANG  DRESS  1 THAI   DRESS 2 THAI DRESS 2

 แล้ว save

                      

 

 

 THAI   DRESS เล่ม 1

 

     

 

 

 

 

THAI  DRESS 2

 

 

 

 

 

 

                                                                                                                                                                                                           

 

 

 

 

 

 


 

THAI SILK 2

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

วิทยบริการ 

 3401-2002 HISTORY of  COSTUME

ประวัติเครื่องแต่งกาย

หลักสูตร ปวส. สอศ. กศธ.2 [ 2 ] เรียน 18 สัปดาห์ สำหรับนักศึกษาระดับปวส.

 

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

หลักสูตร

 

1.สุโขทัย

 

2.อยุธยา๑-๓

 

3.อยุธยา๔-๕

 

4.รัตนโกสินทร์ ๑-๔

 

 5.รัตนโกสินทร์ ๕

6.รัตนฯ๖-๗-๘

7.รัตนโกสินทร์ ๙

 

8.เครื่องประกอบฯ

 

9.อียิปต์

 

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

10.กรีก

11.โรมัน

 

12.ไบเซนไทน์

13.สงครามโลก๑-๒

 

14.พม่า-ลาว-กัมพูชา

 

15.เวียตนาม-กัมพูชา

 

16.อินโดนีเซีย-สิงค์โปร์-มาเลย์ฯ

 

17.ญี่ปุ่น-เกาหลี-

 

18.จึน-อินเดีย

 

กิจกรรมท้ายบทที่

1-8

 

 
วิชา 3401-2002
ประวัติเครื่องแต่งกาย   
HISTORY of COSTUME      

 

 

 

 

คำชี้แจง

           วิชาประวัติเครื่องแต่งกาย เป็นรายวิชาหนึ่งในหมวดบังคับ สาขาวิชาผ้าและเครื่องแต่งกาย ตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง พุทธศักราช2536 ปรับปรุง ซึ่งนักศึกษาสาขาผ้าและเครื่องแต่งกายจะต้องเรียน ทฤษฎี 2 ชั่วโมงต่อ 1 สัปดาห์เรียนจบในหนึ่งภาคเรียน  การเรียนการสอนมีทั้งหมด 18บท โดยผู้ศึกษาสามารถทำกิจกรรมท้ายบทเรียนแต่ละบทได้และพร้อมนี้ผู้จัดทำเว็บได้นำเว็บไซด์ที่เกี่ยวข้องในแต่ละบทมาแนะนำเพิ่มเติมไว้เปิดโลกทัศน์ให้ผู้เรียนได้ศึกษาได้อย่างกว้างไกลมากขึ้น

ข้าพเจ้าหวังว่า ผู้สนใจที่ได้ศึกษาวิชา 3401-2002 ประวัติเครื่องแต่งกาย HISTORY of COSTUMEจากwww.industrialclothingdesign.com คงจะได้รับประโยชน์และความรู้เพิ่มเติม พร้อมทั้งได้ค้นพบสิ่งดีๆที่แอบแฝง ในการที่จะนำไปคิดให้เกิดประโยชน์กับท่านและสังคมต่อไป

surape-e@hotmail.com

 

 

 

 

 

 

 

 

 

1.การแต่งกายไทยสมัยสุโขทัย     

     

Photobucket
 
 

 

 

2.การแต่งกายไทยสมัยอยุธยา

1 -2 -3

 

 

 

 

 

 

 

 

3.การแต่งกายไทยสมัยอยุธยา 4-5

ปรับปรุง วันที่ 7.12.2008

16.51 am

 

 

 

 
 
 
 
Photobucket
 
 
 
 
 

4.การแต่งกายไทยสมัย

รัตนโกสินทร์ รัชกาลที่1-4

ปรับปรุง7.12.2008

[16.40am]

 

 

 

5.การแต่งกายไทยสมัยรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ 5

 

 

 

 

 

 

6.การแต่งกายไทยสมัยสมัยรัตนโกสินทร์รัชกาลที่6-7-8

 

 

 

 

 

 

 

 

 

7.การแต่งกายไทยสมัยสมัยรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ 9

 

 

 

 

 

 

 

8.ความหมายของเครื่องแบบการแต่งกายแบบต่างๆ

 

 

 

 

9.ประวัติการแต่งกายสตรีต่างประเทศอียิปต์

 

 

 

 

 

 

 

10.การแต่งกายของสตรีต่างประเทศกรีก

 

 

 

 

 

 

11.การแต่งกายของสตรีต่างประเทศโรมัน

 

 

 

12การแต่งกายของสตรีต่างประเทศแอสซีเรีย อาณาจักรไปเซนไทน์

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

13การแต่งกายของสตรีต่างประเทศ สมัยสงครามโลกครั้งที่1-2

 

 

 

 

 

 

14การแต่งกายประจำชาติพม่า ลาว กัมพูชา

 

 

 

 

 

 

15การแต่งกายประจำชาติเวียตนาม มาเลเซีย

 

 

 

 

16การแต่งกายประจำชาติอินโดนีเซีย สิงค์โปร์ ฟิลิปปินส์

 

 

 

17การแต่งกายประจำชาติญี่ปุ่น เกาหลี

 

 

 

 

 

 

 

18การแต่งกายประจำชาติจีน อืนเดีย

 

 

 

 

 

19การแต่งกายไทย 4 ภาค

 

 

 

 

 

 

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

 

ข น บ ธ ร ร ม เ นี ย ม ก า ร แ ต่ ง ก า ย         

                  การแต่งกายในสมัยรัตนโกสินทร์ระยะเริ่มแรกยังคงรับช่วงต่อจากสมัยอยุธยาตอนปลาย เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่สมัยต้นรัตนโกสินทร์
มาจากกรุงศรีอยุธยา ฉะนั้น ความรู้ ความคิด ความเชื่อ และขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ จึงไม่ผิดแผกแตกต่างจากสมัยอยุธยามากนัก ต่อมาได้
วิวัฒนาการไปตามสภาพสังคม สิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรม การติดต่อกับนานาประเทศ ฯลฯ ซึ่งจำแนกลักษณะเฉพาะของการแต่งกายในแต่ละยุคได้     
คร่าว ๆ ดังต่อไปนี้

รัชกาลที่ 1-3 (พ.ศ. 2325-2394)

                    นโยบายต่าง ๆ เจริญรอยตามแบบอย่างสมัยอยุธยาตอนปลายแทบทุกประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยรัชกาลที่ 1 ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการสร้าง
เมืองใหม่ได้เลียนแบบสมัยเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยารุ่งเรือง จึงได้วางรากฐานขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ตามสมัยอยุธยาเป็นหลัก การแต่งกายในสมัยนี้จึงยังคง
ยึดแบบอยุธยาตอนปลายเช่นกัน ในราชสำนัก สตรีนุ่งผ้ายกหรือผ้าลายทอง ห่มสไบเฉียงด้วยผ้าปักหรือผ้าแพรที่พับเหมือนอัดกลีบผมตัดไว้เชิงสั้น (เนื่องด้วยใน
สมัยอยุธยาตอนปลายเกิดสงคราม หญิงต้องตัดผมสั้นเพื่อปลอมตัวเป็นชาย สะดวกในการหนีภัยจากพม่า) ชายนุ่งผ้าม่วงโจงกระเบนสีต่าง ๆ สวมเสื้อคอปิด ผ่าอก
แขนยาว แต่โดยปกติไม่นิยมสวมเสื้อการแต่งกายของขุนนางในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นจะสวมเสื้อเข้าเฝ้าในฤดูหนาวเท่านั้น
                    ราษฎรทั่วไป สตรีนุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อรัดรูป ผ่าอก แขนกระบอก ตามปกติเมื่ออยู่กับบ้านนิยมห่มผ้าแถบ ซึ่งมีวิธีห่ม 4 แบบคือ
                    1. ใช้คาดนมแล้วเหน็บริมผ้าข้างบนซุกลงไปให้ติดกับส่วนที่คาดนม ปล่อยชายทิ้งลงไปข้างหน้าสตรีที่มีอายุนิยมห่มแบบนี้ ส่วนมาก

                         เป็นผ้าแถบธรรมดาไม่มีจีบ
                    2. ห่มคาดนม แล้วเอาชายข้างหนึ่งพาดบ่าทิ้งชายลงไปข้างหลัง เรียกว่า ห่มสไบเฉียง (ไม่เรียกผ้าแถบเฉียง) ห่มแบบนี้ส่วนมากเป็นสไบจีบ 

                  
หญิงสาวและหญิงกลางคนนิยมห่มแบบนี้ มักเป็นคนชั้นสูงหรือผู้มีฐานะ
                    3. ห่มตะเบงมานหรือตะเบ็งมาน เอาผ้าคาดตัวแล้วเอาชายทั้งสองที่เท่ากันมาคาดนมไขว้ขึ้นไปผูกกันไว้ที่ต้นคอ การห่มแบบนี้ไม่นิยมกัน

                  
จะห่มเมื่อทำงานหนังหรืองานที่ต้องยกแขนขึ้นลง เช่น ตำข้าว
                    4. คล้องคอ ให้ชายผ้าห้อยลงมาข้างหน้าเท่ากัน ตรงกันข้ามกับผู้ชายที่ห่มสองไหล่ทิ้งชายไว้ข้างหลัง การห่มแบบนี้ต้องสวมเสื้อด้วย ห่มกัน

                        ทั้งหญิงสาวและกลางคนขึ้นไปและมักเป็นชาวสวน การห่มชนิดนี้มักจะห่มไปเที่ยวหรือไปงานรื่นเริงต่าง ๆ สตรีสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
                        ไว้ผมปีก คือ ไว้ผมยาวเฉพาะบนกลางศีรษะ ควั่นผมรอบศีรษะเป็นรอยจนเห็นขอบชัดเจน (คล้ายผมทรงมหาดไทย ของผู้ชายต่างกันที่ผู้หญิง
                        ไม่โกนรอบกลางศีรษะอย่างผู้ชาย ) ปล่อยจอนที่ข้างหูยาวลงมา แล้วยกขึ้นทัดหู เรียกว่า “จอนหู” บางครั้งใช้จอนหูเกี่ยวดอกไม้ให้ห้อยอยู่
                        ข้างหูเรียกว่า “ผมทัด” ก็มีที่เรียกว่า “ผมปีก” นั้นเพราะมองเห็นเชิงผมเป็นขอบอย่างถนัดชัดเจน ชายเเต่งแบบเดียวกับสมัยอยุธยา คือ นุ่งผ้า
                        โจงกระเบน ไม่สวมเสื้อไว้ผมทรง “มหาดไทย” ซึ่งชาวบ้านเรียกกันว่า “ทรงหลักแจว” คือ โกนผมรอบศีรษะไว้ผมเฉพาะกลางศีรษะยาว
                        ประมาณ 4 ซม. แล้วหวีแต่งเรือนผมตามแต่จะเห็นงามผมมหาดไทยมี 2 อย่าง คือ มหาดไทยโกนและมหาดไทยตัด มหาดไทยโกนนั้นใช้โกน
                        ผมข้าง ๆ ให้เกลี้ยงเหลือไว้แต่ตอนกลางเป็นรูปกลมแต่แบนดังแปรง ส่วนมหาดไทยตัด คือ ตัดข้างให้เตียนแทนที่จะโกน และถอนผมที่อยู่รอบๆ
                        ตอนบนออกให้เห็นเป็นรอย เรียกว่า ไรผม ถอนแล้วยังไม่เรียบร้อยดีก็ใช้มีโกนกันไรผมอีกที เด็กชายและหญิง ไว้ผมจุกจนอายุ 11 หรือ 13 ปี
                        จึงโกนจุก แล้วไว้ผมตามแบบของผู้ใหญ่ต่อมา

รัชกาลที่ 4 (พ.ศ.2394-2411)                  

wear4.JPG (17082 bytes)
การแต่งกายสมัยรัชกาลที่ 4

              ระยะนี้เป็นช่วงของการเปิดประเทศติดต่อกับชาวตะวันตก ซึ่งกำลังแสวงหาอาณานิคมพระบาทสมเด็จพระจอม
เกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมองเห็นแนวความคิดของชาวตะวันตกจึงทรงดำเนินนโยบายทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ตลอด
จนปรับปรุงเปลี่ยนขนบธรรมเนียมประเพณีบางอย่างให้สอดคล้องกับ แนวนโยบายของต่างประเทศ ยกปัญหาเหล่านี้ขึ้น
มาอ้างเพื่อแทรกแซงกิจการภายในของประเทศ ด้านขนบธรรมเนียมประเพณีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรด
ให้ข้าราชการสวมเสื้อเข้าเฝ้าเป็นครั้งแรก ด้วยทรงมีพระราชดำริว่า การไม่สวมเสื้อนั้นดูล้าสมัย และชาวต่างประเทศจะ
มองคนไทยว่าเป็นพวกชาวป่าดัง ปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4 ว่า
            “ เวลาวันหนึ่ง ข้าราชการเข้าเฝ้าที่พลับพลาโรงแสงพร้อมกัน ครั้งนั้นยังไม่มีธรรมเนียมที่จะสวมเสื้อเข้าเฝ้า

จึงดำรัสว่าดูคนที่ไม่สวมเสื้อเหมือนเปลือยกาย ร่างกายจะเป็นเกลื้อนกลากก็ดี หรือเหงื่อออกมาก็ดี โสโครกนัก ประเทศ
อื่น ๆ ที่เป็นประเทศใหญ่เขาก็สวมเสื้อหมดทุกภาษาเว้นเสียแต่ละว้าลาวชาวป่าที่ไม่ได้บริโภคผ้าผ่อนเป็นมนุษย์อย่างต่ำก็
ประเทศสยามนี้ก็เป็นประเทศใหญ่รู้ขนบธรรมเนียมมากอยู่แล้ว ไม่ควรจะถือเอาอย่างโบราณที่เป็นชาวป่ามาแต่ก่อน ขอท่าน
ทั้งหลายจงสวมเสื้อเข้ามาในที่เฝ้าจงทุกคน ตั้งแต่นั้นมาเข้าและขุนนางก็สวมเสื้ออย่างน้อยเข้าเฝ้าทุกคน ครั้นนานมาเห็นว่า เสื้ออย่างน้อยนั้นจะคาดผ้ากราบก็มิได้จึงยักย้ายทำเป็นเสื้อกระบอกเหมือนเสื้อบ้าบ๋า (เสื้อผ่าอก คอแหลมตื้น ไม่มีปกแขนยาว ตรง) บุตรจีนที่เมืองปัตตาเวียก็เป็นธรรมเนียมติดมาจนทุกวันนี้...
”

                    การไว้ผมของชายในสมัยนั้น ยังคงไว้ทรงมหาดไทยอยู่ เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ส่งฑูตไปยุโรป ให้คณะทูตเลิกไว้
ผมมหาดไทยเปลี่ยนเป็นไว้ผมทั้งศีรษะและตัดยาวอย่างฝรั่ง แต่เมื่อคณะทูตกลับมาถึงกรุงเทพฯก็ตัดผมมหาดไทยตามเดิม อย่างไรก็ตาม เราต้องยอมรับว่า
รัชกาลที่ 4 ริเริ่มการไว้ผมสมัยใหม่แบบฝรั่ง ดังปรากฏหลักฐานจากพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์และพรราชโอรส ซึ่งเริ่มมีผู้ปฏิบัติตามกันต่อมา สตรีใน
ราชสำนัก นุ่มผ้าจีบลายทอง ห่มสไบปัก ใช้เครื่องประดับต่าง ๆ เช่น ทับทรวง (เครื่องประดับอก) พาหุรัด (เครื่อประดับแขนหรือทองต้นแขน) สะอิ้ง (สายรัดเอว)
สร้อยสังวาล (สร้อยยาวใช้คล้องสะพายแล่งที่เรียกว่าสร้อยตัว) ตุ้มหูเพชร แหวนเพชร ฯลฯ และยังคงไว้ผมปีกเหมือนรัชกาลต้น ๆ
                    ราษฏรทั่วไป สตรีนิยมสวมเสื้อคอกลม ปิดคอ แขนยาวทรงกระบอก รัดรูป นุ่งผ้าลายโจงกระเบนทับเสื้อคาดแพรหรือห่มสไบเฉียงทับตัวเสื้ออีก
ทีหนึ่ง สวมกำไลที่ข้อเท้า ( การสวมกำไลข้อเท้านี้เป็นประเพณีเก่าแก่ของไทยว่า ผู้สวมกำไลข้อเท้าเป็นหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน) ไม่สวมรองเท้า บางพวกนิยมห่ม
สไปจีบ ส่วนผมยังคงไว้ปีกถอนไรผม ไว้เล็บ ผัดหน้า ตามปกติเมื่ออยู่กับบ้านก็ห่มผ้าแถบ ถ้าทำงานกลางแจ้งจึงจะสวมเสื้อแขนกระบอก แขนลีบยาวถึงข้อมือ ผ่าอก
ติดกระดุม บางทีเมื่อทำงานที่ต้องยกแขนขึ้น-ลงก็ห่มตะแบงมานเช่นเดียวกับสมัยก่อน ส่วนการห่มผ้าแถบ(คาดอก) ยังคงมีเรื่อยมาจนกระทั่งคนรุ่นเก่าหมดไป
และภายหลังเห็นว่าไม่สุภาพ การห่มผ้าแถบจึงหมดไปในที่สุด
                    เด็กยังนิยมไว้ผมจุก ถ้าเป็นเด็กหญิงใส่เสื้อคอกลมระบายลูกไม้ที่คอ แขน ฯลฯ หากเป็นผู้มีฐานะ บรรดาพ่อแม่ญาติผู้ใหญ่มักมีเครื่องประดับทองเงิน
แต่งตัวให้เด็ก เป็นเหตุให้เด็กถูกฆ่าตายอยู่เนือง ๆ เพราะคนร้ายต้องการชิงเครื่องประดับกรณีดังกล่าวนี้มีมาแต่สมัยรัชกาลก่อน ๆ แม้จะลงโทษถึงขั้นประหารชีวิต
ก็ตาม คนร้ายก็ยังไม่เกรงพระราชอาญา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้ออกหมายประกาศในปี พ.ศ. 2409 ห้ามไม่ให้เอาเครื่องประดับทองเงิน
แต่งกายให้เด็กที่ยังไม่รู้จักหลีกหลบโจรผู้ร้าย และประกาศห้ามไม่ให้แต่งตัวเด็กด้วยเครื่องประดับและปล่อยไปเที่ยวโดยลำพัง หากเด็กได้รับอันตรายถึงตายด้วย
เหตุนี้นอกจากคนร้ายจะได้รับโทษแล้ว ผู้นำเครื่องประดับมาแต่งให้ก็จะมีความผิดด้วย

peple4.JPG (19279 bytes)
การแต่งกายหญิงในรัชกาลที่ 4

รัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2411-2453)

              ในรัชกาลนี้ไทยได้มีการติดต่อกับชาวต่างประเทศมากขึ้น แม้พระบาทสมเด้จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวจะได้ทรงแก้ไขขนบธรรมเนียมประเพณีบางอย่างแล้วก็ตาม แต่ยังไม่เป็นที่แพร่หลายนัก
โดยเฉพาะเรื่องการแต่งกาย ทั้งที่พระองค์โปรดให้มีการประกาศสวมเสื้อเข้าเฝ้า แต่ในเวลาปกติแล้ว
บรรดาขุนนาง เจ้านาย และเสนาบดียังนุ่งผ้าผืนเดียว ไม่สวมเสื้อ ด้วยยึดถือประเพณีเดิม อย่างเคร่งครัด
โดยไม่คำนึงว่าล้าสมัยหรือผิดถูกอย่างไร “ข้อนี้พึงเห็นได้ในหนังสือเก่า คำสรรเสริญของพระเจ้าแผ่นดิน
มักกล่าวว่า “รักษาโบราณราชประเพณีมั่นคง” หรือ “ทรงประพฤติตามโบราณราชประเพณี ในคำกลอน
เรื่องพระไชยสุริยาของสุนทรภู่ ก็กล่าวถึงพวกเข้าเฝ้าเจ้าเมืองสาวัตถี “ดัดจริตผิดโบราณบ้านเมืองจึงเป็น
อันตราย” ดังเช่น เซอร์ จอห์น เบาริ่ง ราชทูตอังกฤษเล่าเรื่องที่เข้ามากรุงเทพฯ ภายหลังมาอีก 3 ปี ว่าเมื่อ ไปหาสมเด็จเจ้าพระยาฯ องค์ใหญ่ครั้งแรก จัดรับอย่างเต็มยศ เห็นสมเด็จพระยาองค์ใหญ่แต่งตัวนุ่งจีบ
คาดเข็มขัดเพชรแต่ตัวเปล่าไม่สวมเสื้อความที่กล่าวส่อให้เห็นต่อไปอีกว่าขุนนางผู้น้อยซึ่งเป็นบริวารอยู
่ในที่นั้นก็คงไม่สวมเสื้อเหมือนกันทั้งนั้น เพราะถือว่าต้องสวมเสื้อในเวลาเข้าเฝ้า เวลาอื่นยังมีเสรีภาพที่
จะรับแขกหรือไปไหนตัวเปล่าได้เหมือนอย่างเดิม”
wear5.JPG (18466 bytes)

                    การที่ไม่นิยมสวมเสื้อเพราะเสื้อผ้าหายากมีราคาแพงและทำความสะอาดลำบากเนื่องจากไม่มีสบู่ใช้อย่างปัจจุบัน การทำความสะอาดต้อง
ใช้ขี้เถ้ามาละลายน้ำซึ่งเรียกว่า ด่าง และใช้น้ำนี้มาซักผ้า น้ำด่างนี้ยังกดเสื้อผ้าให้เปื่อย ขาดง่าย ไม่ดีเหมือนใช้สบู่อย่างสมัยต่อมา ระหว่างสงครามโลก
ครั้งที่ 2 สบู่หายาก จึงได้มีผลิตภัณฑ์ใหม่คือ ผงซักฟอกเข้ามาแทนที่และเป็นที่นิยมใช้กันเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า
อยู่หัวทรงตระหนักดีว่า การแต่กายดังกล่าวย่อมเป็นที่ดูหมิ่นเหยียดหยามของชาวต่างประเทศที่เข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ และเป็นเวลาที่จะเสด็จประพาส
ต่างประเทศ (สิงคโปร์และชวา) เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2413 จึงมีพระราชดำริที่จะเปลี่ยนแปลงเครื่องแต่งกายตามแบบฝรั่ง เพื่อแสดงความเป็นอารย
ประเทศ ทรงกำหนดเครื่องแบบทหารและพลเรือน ฝ่ายทหารมีทั้งเครื่องแบบเต็มยศและเครื่องแบบปกติ ฝ่ายพลเรือนมีแต่เครื่องแบบเต็มยศเท่านั้น
เครื่องแบบของฝ่ายพลเรือนเป็นเสื้อแพรสีกรมท่า ปักทองที่คอและข้อมือ ในเวลาปกติใช้เสื้อคอเปิด ผูกผ้าผูกคออย่าฝรั่ง ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนนุ่ง
ผ้าม่วงสีกรม ท่าและกำหนดให้สวมถุงเท้า รองเท้าด้วย สำหรับผ้าม่วงสีกรมท่านั้นใช้เป็นเครื่องแบบและนุ่งในเวลามีการงานแต่ครั้งนั้นสืบมา                                                 
                เครื่องแต่งกายของชายไทยในสมัยต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนี้ได้ปรับปรุงตามแบบประเพณีนิยมสากลของชาว
ตะวันตกเป็นครั้งแรก แต่หลังจากเสด็จประพาสอินเดีย-พม่า ในปี พ.ศ.2414 แล้ว มีพระราชดำริว่า การสวมเสื้อนอกแบบฝรั่งซึ่งต้องมีเสื้อเชิ้ต สวมข้าง
ในแล้วยัง มีผ้าผูกคออีกด้วยนั้น ไม่เหมาะสมกับอากาศร้อนของเมืองไทย จึงโปรดให้ดัดแปลงเป็นเสื้อนอกสีขาวคอปิดติดกระดุมตลอดอก 5 เม็ด เรียกว่า
“เสื้อราชแปตแตนท์ (RajPattern) ซึ่งต่อมาเรียกเพี้ยนไปเป็น “เสื้อราชปะแตน” ซึ่งแปลว่า “แบบหลวง” แต่ยังคงนุ่งผ้าม่วงสีกรมท่าเหมือนเดิม ในสมัยนี้
นิยมสวมหมวกแบบยุโรปหรือหมวกหางนกยูง ถือไม้เท้า ซึ่งมักจะใช้คล้องแขนจึงเรียกว่า “ไม้ถือ” ต่อมาในปี พ.ศ. 2439 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวโปรดให้ทหารนุ่งกางเกงขายาวแทนผ้าม่วงโจงกระเบนสีกรมท่า เป็นผลให้ประชาชนเริ่มนิยมนุ่งกางเกงขายาวและสวมหมวกกะโล่กันขึ้นบ้าง
ในตอนปลายรัชกาล
                    การแต่งกายของชายทั่วไป ยังคงนิยมแต่งกายตามสบายเช่นเดียวกับสมัยรัชกาลก่อน ๆ คือ นุ่งผ้าลอยชาย มีผ้าขาวม้าหรือผ้าอะไรก็ได้แต่ะบ่า
คลุมไหลหรือคาดพุง ซึ่งคงจะเป็นประเพณีการแต่งกายของคนไทยตามปกติมาแต่โบราณและคาดพุง ไม่นิยมใช้ผ้าแตะบ่า การนุ่งลอยชาย คือ การเอาผ้า
ทั้งผืนนั้นมาโอบหลังกะให้ชายผ้าข้างหน้าเท่ากัน แล้วขมวดชายพก ค่อนข้างใหญ่เหน็บแน่นติดตัว แล้วทิ้งชายห้อยลงไปข้างหน้า การนุ่งผ้าลอยชายนี้
บางคนชอบนุ่งใต้สะดือ ชายพกที่ค่อนข้างใหญ่นี้เพื่อเก็บกล่องหรือหีบบุหรี่ที่ตนชอบ ส่วนผ้าคาดพุงไม่ว่าจะเป็นผ้าขาวม้าหรือผ้าส่านหรือผ้าอะไรผูกเป็น
โบเงื่อนกระทก ไว้ข้างหน้า ทิ้งชายผ้าลงมาเล็กน้อย
                    ผู้ชายบางคนแต่งตัวแบบนักเลงโต กล่าวคือ นุ่งกางเกงชั้นใน คาดกระเป๋าคาด ที่เอวทับกางเกงใน นุ่งผ้าโสร่งทับนอก (โสร่งไหมตัวใหญ่ ๆ
หรือผ้าตาโก้งหรือตาโถงที่พวกต้องซู่นำมาขายหน้าเทศกาลพระพุทธบาทสระบุรี) นุ่งเสร็จมักจะหยิบผ้านุ่งตรงสะโพกทั้งสองข้างยกขึ้นไปเล็กน้อยไปเหน็บ
ไว้ที่เอว เรียกว่า “นุ่งหยักรั้ง” มีผ้าขาวม้าหรือผ้าอะไรพันคอ ชายหนึ่งอยู่ข้างหน้า ตวัดอีกชายหนึ่งไปข้างหลัง หากจะซื้อของก็เลิกผ้าโสร่งขึ้นหยิบเงินใน
กระเป๋าคาด ในสมัยนั้นถือเป็นของธรรมดา การนุ่งผ้าลอยชายนี้คงจะมีอยู่เพียงปลายรัชกาลที่ 5 และคงจะมีบ้างประปรายในรัชกาลที่ 6 แต่ก็ไม่ได้หมดไป
ทีเดียว ยังมีอยู่เรื่อยมาแม้กระทั่งปัจจุบันการไว้ผมของชายไทยสมัยรัชกาลที่ 5 ไว้ผมยาวอย่างฝรั่ง มีทั้งหวีแสกและหวีเสย เลิกไว้ผมมหาดไทย พระบาท
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้นำการไว้ผมยาวทั้งศีรษะ   ทั้งมีพระบรมราชานุญาตให้ข้าราชบริพารไว้ผมยาวได้ตามแบบฝรั่งตั้งแต่นั้นมา
เพราะเห็นว่าสวยงามกว่าทรงผมมหาดไทย แม้จะโปรดให้เลิกไว้ผมมหาดไทยแล้ก็ตามยัง มีข้าราชการผู้ใหญ่บางท่านนิยมผมมหาดไทยอยู่ดังเช่นสมเด็จ
เจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ได้ให้ช่างตัดผมสั้นรอบศีรษะ ไว้ข้างบนยาวคล้ายทรงผมมหาดไทย เรียกว่า “ผมรองทรง”
                เครื่องแต่งกายของสตรีไทยในสมัยนี้ได้ดัดแปลงแก้ไขหลายครั้ง แต่เดิมในราชสำนักยังคงนุ่งผ้าจีบ ห่มสไบแพรเฉียงแนบกับตัวเปล่า ต่อมา
ในปี พ.ศ.2416 งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งหลังโปรดให้เปลี่ยนแปลงเครื่องแต่งกายใหม่ให้สตรีนุ่งผ้ายกจีบ ห่มตาด หรือห่มสไบปักเฉพาะเวลา
เต็มยศใหญ่เท่านั้น ในโอกาสทั่วไป นุ่งผ้าโจงกระเบนสวมเสื้อพอดีตัว ผ่าอก คอกลมหรือคอตั้งเตี้ย ๆ ปลายแขนแคบยาวถึงข้อมือ ชายเสื้อยาวเพียงเอว เรียกว่า
“เสื้อกระบอก” แล้วห่มแพรจีบตามขวางสไบเฉียงทับบนเสื้ออีกชั้นหนึ่ง แพรจีบที่ใช้ห่มสไบเฉียงทับเสื้อนี้ ต่อมาได้วิวัฒนาการเป็นแพรสะพายซึ่งใช้แพรชนิด
ที่จีบตามขวางเอวนั้นมาจีบตามยาวอีกครั้งหนึ่ง จนเหลือเป็นผืนแคบตรึงให้เหมาะ แล้วสะพายมาบนบ่าซ้าย รวบชายแพรทั้ง 2 ข้างเข้าด้วยกันทางด้านขวา
ของเอวคล้าย ๆ สวมสายสะพาย และสวมรองเท้าบู๊ตโดยมีถุงเท้าหุ้มตลอดน่องด้วย
                    ในปี พ.ศ.2440 หลังจากเสด็จกลับจากยุโรปได้ทรงนำแบบอย่างการแต่งกายของชาวยุโรปมาดัดแปลงให้เหมาะสมกับภูมิอากาศของเมืองไทย
สตรีในครั้งนั้นจึงเริ่มใช้เสื้อตัดตามแบบยุโรป สวมถุงเท้า แต่ยังคงนุ่งโจงกระเบนและสะพายแพรอยู่ แบบเสื้อที่นิยมกันมากในสมัยนี้ก็คือ เสื้อแขนพองแบบฝรั่ง
คอตั้ง แขนยาว ต้นแขนพองคล้ายขาหมูแฮม จึงเรียกว่า “เสื้อหมูแฮม” มีผ้าห่มหรือแพรสไปเฉียงแล้วแต่โอกาส ทับตัวเสื้ออีกทีหนึ่ง ปลายรัชกาลที่ 5 สตรีนุ่ง
โจงกระเบนกันเกือบทั้งหมด แต่ตัวเสื้อนิยมใช้ผ้าแพร ไหม ผ้าลูกไม้ ตัดแบบชาวตะวันตก คอตั้งสูง แขนยาว ฟูพองหรือระบายลูกไม้เป็นชั้น ๆ รอบแขนเสื้อ
บางทีเอวเสื้อจีบเข้ารูป บางทีคาดเข็มขัด สวมถุงเท้ายาว รองเท้าส้นสูง หญิงชาวบ้านทั่วไปยังคงนุ่งโจงกระเบนเป็นประจำและห่มผ้าแถบอยู่กับบ้านเช่นเคย
ไม่นุ่งจีบ ยกเว้นคนชั้นสูงจะมีงานมงคลอะไรใหญ่เป็นพิเศษก็อาจแต่งบ้างบางราย (การนุ่งจีบมักจะนุ่งแต่คนชั้นสูงเท่านั้น)
                    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้เลิกผมปีกไว้ผมยาวแทน โดยให้เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ (แพ) เมื่อครั้งยังเป็นเจ้าจอมมารดาแพ

พระสนมเอก เป็นผู้นำคนแรกด้วยการไว้ผมยาวประบ่า ต่อมาพวกเจ้านายฝ่ายในและหม่อมห้ามได้ทำตาม แต่บางคนไว้ผมตัดทรงดอกกระทุ่ม จึงได้แพร่หลาย
สู่ประชาชน ต่อมา ทำให้ไว้ผมยาวประบ่าบ้าง ไว้ผมทรงดอกกระทุ่มบ้าง แต่ส่วนใหญ่นิยมผมทรงดอกกระทุ่ม สตรีสมัยนั้นเริ่มใช้เครื่องสำอางอย่างชาวตะวัน
ตกบ้าง นิยมใช้เครื่องประดับสร้อยข้อมือ สร้อยคอ สร้อยตัว (สร้อยเฉลียงบ่า) แหวน กำไล ใส่ตุ้มหูบ้างแต่มักไม่ค่อยใส่กัน เข็มขัดทอง เงิน นาก ถ้าเป็นคนชั้นสูง
ที่นุ่งจีบจะต้อง ใช้เข็มขัดคาด ก็มักจะใช้เข็มขัดทองทำหัวมีลวดลายงดงามลงยาประดับเพชรพลอย การใช้เครื่องประดับของสตรีนั้นแตกต่างกัน ถ้าเป็นภรรยา
บุตรหลานข้าราชการขุนนาง เวลาอยู่กับบ้านมักไม่ค่อยแต่งเครื่องประดับ จะมีแต่งบ้างเป็นพวกสร้อยข้อมือเล็ก ๆ สร้อยคอสายเล็ก ๆ ใส่แหวนบ้าง ตุ้มหูไม่ค่อย
ใส่กัน แต่ถ้าเป็นหญิงชาวสวน นิยมใส่สร้อยข้อมือ สร้อยคอเส้นโตๆ ใส่แหวนเป็นประจำ ตุ้มหูมีใส่บ้างแต่ไม่นิยมกัน ถ้าเปรียบกับสมัยปัจจุบันก็คล้าย ๆ กับตู้ทอง
เคลื่อนที่ และเป็นธรรมเนียมสืบทอดมาจนปัจจุบัน ที่ชาวชนบทบางคน หรือผู้ที่มีความคิดอยากจะแต่งเพื่อโอ้อวด หรือ แสดงถึงความเป็นผู้มีฐานะยังคงนิยมแต่ง
อยู่ก็มี แต่ในปัจจุบัน (พ.ศ. 2525) ทองมีราคแพงมาก ทำให้มีการวิ่งราวชิงทรัพย์กันอยู่บ่อย ๆ คนแต่งเครื่องประดับมีค่าจึงลดน้อยลง แต่ก็เกิดเครื่องประดับ
วิทยาศาสตร์ใช้แทน ทำให้ “ไม่รวยก็สวยได้”
                    เด็กหญิงในสมัยนี้ นุ่งโจงกระเบนเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ ไม่สวมเสื้อเวลาออกงานจึงสวมเสื้อคอติดลูกไม้ที่เรียกว่า เสื้อคอกระเช้า เวลาแต่งตัวเต็มที่
นุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อแขนยาวคอปิดแต่งด้วยผ้าลูกไม้งดงาม สวมถุงเท้า รองเท้า เจ้านายที่ทรงพระเยาว์ ทรงฉลองพระองค์แขนยาว พองและทรงเครื่อง
ประดับมาก ยังคงนิยมไว้ผมจุก เมื่อตัดจุกแล้วจึงเริ่มไว้ผมยาว ได้กล่าวไว้แล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่มีพระราชประสงค์จะให้ชาวต่าง
ประเทศดูหมิ่นเหยียดหยามคนไทยว่าแต่งกายเหมือนคนป่า จึงทรงกวดขันเรื่องนี้มากถึงกับโปรดให้ออกประกาศ 2 ฉบับ ใชับังคับราษฎร ฉบับแรกคือ
ประกาศห้ามคนแต่งตัวไม่สมควร มิให้ไปมาในพระราชฐานที่เสด็จออก โดยห้ามผู้ใหญ่ทั้งชายหญิงสวมแต่เสื้อชั้นในหรือไม่สวมเสื้อเลย หรือนุ่งกางเกงขาสั้น
เหนือเข่า หรือนุ่งผ้าหยักรั้งไม่ปิดเข่าหรือนุ่งโสร่ง หรือสวมรองเท้าไม่มีถุงเท้า ไม่ว่ารองเท้าชนิดใด ๆ หรือสวมรองเท้าสลิปเปอร์ ตลอดจนเด็กที่เปลือยกายเข้ามา
ในบริเวณพระราชวังชั้นนอกด้านหน้ากับบริเวณวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ยกเว้นคนทำงานขนของก่อสร้าง กวาดล้าง ถ้าผู้ใดฝ่าฝืนหรือพาเด็กหรือปล่อยเด็ก
ที่แต่งกายไม่สมควรดังกล่าวล่วงเข้ามาในเขตที่กำหนดไว้ให้นายประตูขับไล่ห้ามปราม ถ้าไม่ฟังให้จับส่งศาลกระทรวงวังตัดสินโทษ ปรับไม่เกินคราวละ 20 บาท
หรือขังไว้ใช้การไม่เกินคราวละ 15 วัน หรือทั้งปรับทั้งขังตามควรแก่โทษ ถ้าผู้ทำผิดเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีลงไป บิดามารดาหรือมูลนายหรือผู้เลี้ยงดูเด็กนั้น
จะต้องรับโทษแทนทุกประการ ประกาศเมื่อวันที่ 20 มกราคม ร.ศ.117 (พ.ศ.2441) ให้ใช้บังคับตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ ร.ศ.117 เป็นต้นไป
                    อีกฉบับหนึ่ง คือ “ประกาศห้ามการแต่งกายไม่สมควร” ห้ามชายหญิงที่นุ่งผ้าหยักรั้งไม่ปรกเข่าหรือนุ่งกางเกงขาสั้น หญิงเปลือยอก หรือห่มผ้า
ไม่ปิดบังอกให้เรียบร้อย เด็กไม่นุ่งกางเกงหรือไม่สวมเสื้อผ้าเดินไปมาตามถนน แม่น้ำ ลำคลอง หรืออยู่ในบ้านเรือนที่อยู่ริมถนน หรือบ้านเรือน หรือเรือนแพที่อยู่
ริมแม่น้ำลำคลอง หรือตามที่สาธารณะให้เป็นที่รำคาญตาแก่ผู้พบเห็น หากผู้ใดฝ่าฝืนให้เจ้าพนักงาน กรมกองตระเวนจัดส่งศาลพิจารณาลงโทษ ปรับไม่เกินคราว
ละ 10 บาท ถ้าผู้ทำผิดเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ลงไป บิดามารดาหรือผู้ปกครองต้องไปรับโทษแทน ประกาศเมื่อวันที่ 22 มกราคม พ.ศ.2441 ใช้บังคับหลังจาก
วันที่ออกประกาศนี้ล่วงแล้ว 7 วัน

รัชกาลที่ 6 (พ.ศ.2453-2468)

                ในสมัยนี้ การติดต่อกับประเทศตะวันตกได้ สืบเนื่องมากจากรัชกาลก่อน ๆ ความเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ จึงค่อนข้างไปทางตะวันตกมากขึ้น
ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) ได้บรรยายถึงความเจริญในยุคนี้ ใน 80 ปี ในชีวิตข้าพเจ้า ตอนหนึ่งว่า “ว่าถึงความเจริญของบ้านเมืองทั่วไป เริ่มเป็น

สมัยใหม่ขึ้นตั้งแต่เริ่มรัชสมัยสมเด็จพระมงกุฏเกล้าฯ ถนนหนทางส่วนมากเรียบร้อยขึ้นและบางสายเริ่มลาดยางแอสแฟลต์ เรือนไทยที่เคยมีตามถนนทั่วๆ ไป
กลายเป็นตึกแถว 2 ชั้น 3 ชั้น บ้านไทยกลายเป็นบ้านตึกทรวดทรงค่อนไปทางฝรั่ง ร้านค้ามีมาก รถยนต์มีมากขึ้น รถไอ รถราง รถม้า รถเจ๊กยังคงใชักันมาก
ทั่วไป ผู้คนพลเมืองหนาตาขึ้น ถนนไม่โล่ง ๆ เหมือนข้าพเจ้าเป็นเด็ก”

             wear62.JPG (12556 bytes)   wears6.JPG (12814 bytes)        การแต่งของหญิงในสมัยรัชกาลที่ 6

                    เมื่อได้ปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองไปตามอารยประเทศในด้านต่าง ๆ แล้วในด้านการแต่งกายก็ได้มีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
อีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะการแต่งกายของสตรีระยะแรกยังคงนุ่งผ้าโจงกระเบน เสื้อยังนิยมใช้ลูกไม้ประดับอยู่ คอลึกกว่าเดิม แขนยาวเสมอข้อศอกแต่แขนเสื้อไม่พอง
เหมือนแบบสมัยรัชกาลที่ 5 มีผ้าคาดเอวสีดำ มีผ้าสไบพาดไหล่รวบตอนหัวไหล่ติดด้วยเข็มกลัดรูปดอกไม้ สาวผ้าสไบดังกล่าวรวบไว้ตรงข้างลำตัว สวมถุงเท้ายาว
รองเท้าส้นสูง ต่อมาเริ่มนุ่งซิ่นตามพระราชนิยมในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ (ตามปกติผ้าซิ่นใช้กันทางภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งนุ่งกันเป็นประเพณี
มักเป็นผ้าซิ่นด้าน แต่ในกรุงเทพฯ ไม่นิยมนุ่งกันเลย จะนุ่งกันแต่โจงกระเบน เมื่อเริ่มนุ่งผ้าซิ่นนั้น ผ้าซิ่นจะเป็นพวกซิ่นไหมและซิ่นเชิงทอด้วยเส้นเงิน เส้นทอง)
เกิดเสื้อแบบใหม่ ๆ สำหรับใส่เข้าชุดกับผ้าซิ่นขึ้น การสะพายแพรไม่เป็นที่นิยมกันต่อไป นอกจากสตรีผู้มีบรรดาศักดิ์จะแต่กายเต็มยศ ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับพระราชทาน
เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ยังคงใช้แพรปักตราจุลจอมเกล้าสะพายอยู่เหมือนเดิม (การสะพายแพรยกเลิกในรัชกาลที่ 7 )

                    ต่อมาในปี พ.ศ.2463 เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงอภิเษกสมรสได้โปรดให้สตรีในราชสำนักไว้ผมยาวเกล้ามวยหรือไว้ผมบ๊อบ
ตามแบบตะวันตก ซึ่งสมัยนั้นใช้เครื่องประดับคาดรอบศีรษะด้วย การแต่งกายตามพระราชนิยมจึงได้แพร่หลายออกสู่ประชาชน สตรีไทยจึงนิยมไว้ผมยาวกัน
อย่างแพร่หลาย แต่บางคนก็นิยมตัดสั้นแบบที่เรียว่า ทรงซิงเกิ้ล ยกเว้นคนแก่ยังนิยมนุ่งโจงกระเบน และไว้ผมทรงดอกกระทุ่มและผมทัดต่อไปตามเดิม ในระยะแรก 
การแต่งกายไม่นิยมใช้เครื่องประดับมากนัก ต่อมานิยมเครื่องประดับที่เลียนแบบตะวันตก เครื่องสำอางนิยมใช้ของตะวันตกกันมากขึ้น ส่วนทางด้านการแต่งกาย
ของชายนั้น ข้าราชการยังคงนุ่งผ้าม่วงโจงกระเบนสวมเสื้อราชปะแตน ตัดผมแบบยุโรป สวมถุงเท้า รองเท้าเช่นเดียวกับรัชกาลที่ 5 ในระยะต่อมาจึงนิยมกางเกงแพรสี

รัชกาลที่ 7 - ปัจจุบัน (พ.ศ. 2468-ปัจจุบัน)
                    ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 การแต่งกายคล้ายชาวตะวันตกมากขึ้น ซิ่นที่นุ่งยาวเปลี่ยนเป็นผ้าถุงสำเร็จ กล่าวคือ
เย็บผ้าถุงให้พอดีกับเอวโดยไม่ต้องคาดเข็มขัด สวมเสื้อหลวมไม่เข้ารูป ตัวยาว แขนสั้นหรือไม่มีแขนตกแต่งด้วยโบและระบายเหมือนฝรั่ง เลิกสะพายแพรปัก
ใส่สายสร้อยและตุ้มหูยาวแบบต่าง ๆ สวมกำไล ส่วนผมปล่อยยาวแต่ไม่ประบ่า และเริ่มนิยมดัดเป็นลอน ทั้งนี้เพราะคนไทยในช่วงนี้ได้มีโอกาสไปศึกษายังต่าง
ประเทศมากขึ้น จึงนำเอาอารยธรรมการแต่งกายเข้ามาด้วย ประกอบกับภาพยนตร์ฝรั่งโดยเฉพาะภาพยนตร์อเมริกันกำลังเฟื่องฟูมากในสมัยต้นรัชกาลที่ 7
และได้เจริญขึ้นเป็นลำดับ จนสามารถมีอิทธิพลในด้านนำแฟชั่นมาสู่ประชาชนคนไทยด้วยการที่สตรีหันมานุ่งกระโปรงกันบ้างประปราย แต่นุ่งกันในเฉพาะ
บางพวกบางกลุ่มเท่านั้น เช่น ในวงสังคมชั้นสูง พวกข้าราชการหรือผู้ที่ชอบแต่งตามแฟชั่น ในราวปี พ.ศ. 2474 สตรีไทยปฏิวัติเครื่องแต่งกายให้ทัดเทียม
กับชาวยุโรปอีก คือ จากถุงสำเร็จซึ่งปฏิวัติมาจากผ้าซิ่น ก็ได้เปลี่ยนเป็นกระโปรง 4 ตะเข็บ 6 ตะเข็บ มีผู้เล่ากันว่าข้าราชการหญิงในกรมศิลปากรเป็นผู้ออกแบบ
ตัดใช้ก่อนคนอื่น ๆ แล้วหลังจากนั้นเครื่องแต่งกายของสตรีไทยก็ได้วิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงมาโดยลำดับ”

wear77.JPG (10750 bytes)           ส่วนการแต่งกายของชายที่เป็นข้าราชการ ตลอดจนคนในสังคมชั้นสูงโดยทั่วไป ยังนิยมนุ่งผ้าม่วงโจง
กระเบน สวมเสื้อราชปะแตน สวมถุงเท้า รองเท้า สวมหมวกสักหลาดมีปีกหรือหมวกกะโล่ ซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายปกติ
สำหรับไปในงานพิธีหรืองานราชการโดยทั่วไป เมื่อเดินทางไปต่างประเทศจึงจะใส่เสื้อคอแบะ ผู้เนกไท นุ่งกางเกง
แบบชาว ตะวันตก ส่วนราษฎรทั่วไปยังคงนุ่งโจงกระเยนหรือสวมกางเกงแพร สวมเสื้อธรรมดา และไม่นิยม
สวมรองเท้าอยู่ต่อไปตามเดิม
         ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ได้มีการเปลี่ยนแปลงประเพณี วัฒนธรรมบางอย่างให้
สอดคล้องกันการปกครองระบบใหม่และให้เหมาะสมกับกาลสมัย ทั้งยังไม่เป็นที่ดูถูกดูหมิ่นจากชาวต่างประเทศที่ เข้ามาติดต่อในประเทศอีกด้วย ในการแต่งกาย รัฐบาลเห็นว่าการนุ่งผ้าม่วงโจงกระเบน สวมเสื้อราชปะแตนอันเป็น
เครื่องแต่งกายตามปกติหรือในงานพิธีของข้าราชการและสุภาพบุรุษโดยทั่วไปไปนั้นล้าสมัย จึงประกาศให้นุ่ง
กางเกงขายาวแทน แต่ยังไม่เป็นบังคับทีเดียว ยังผ่อนผันให้นุ่งฟ้าม่วงได้บ้าง จนปี พ.ศ. 2487 ได้ตราพระราช บัญญัติการ แต่งกายข้าราชการพลเรือน โดยให้เลิกนุ่งผ้าม่วงโจงกระเบนโดยเด็ดขาด กำหนดเครื่องแบบการแต่งกาย ข้าราชการให้เป็นไปตามแบบสากล ราษฎรทั่วไปเมื่อเห็นข้าราชการนุ่งกางเกงขายาวแทนผ้าม่วงก็ทำตามอย่างกัน ขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งนิยมแต่งแบบสากลกันมาจนปัจจุบัน ในระยะนี้ไม่นิยมสวมหมวก จนกระทั่งถูกบังคับให้สวมใน

สมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลย์สงคราม เมื่อรัฐบาลชุดนี้หมดอำนาจ การบังคับให้สวมหมวกก็ล้มเลิกไปโดยปริยาย การแต่งกายได้พัฒนาและเปลี่ยนแปลงไป
ตามลำดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลย์สงคราม (พ.ศ.2481-2487) ได้ม่งส่งเสริมวัฒนธรรมอย่างขนานใหญ่ เป็นจุดของการ
สร้างชาติในด้านต่าง ๆ ได้มีการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีไทยมากมายหลายอย่าง โดยพยายามให้วัฒนธรรมเป็นส่วนหนึ่งของ
การสร้างชาติ มีการออกพระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกาและประกาศต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องการแต่งกายของชาวไทยหลายฉบับตลอดจนคำแนะนำในด้านการ
แต่งกายรวมทั้งการประกาศห้ามผู้แต่งกายไม่สมควรปรากฏตัวในที่สาธารณะ ดังเช่น ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรัฐนิยมฉบับที่ 10 เรื่องการแต่งกาย
ของประชาชนชาวไทย ความว่า “ชนชาติไทยไม่พึงปรากฏตัวในที่ชุมชนหรือสาธารณสถานในเขตเทศบาลโดยไม่แต่งกายให้เรียบร้อย เช่น นุ่งแต่กางเกงชั้นใน
หรือไม่สวมเสื้อ หรือนุ่งผ้าลอยชาย เป็นต้น การแต่งกายที่ถือว่าเรียบร้อยนั้นควรแต่งเครื่องแบบตามสิทธิหรือโอกาส หรือแต่งกายตามแบบสากลนิยม หรือแต่ง
ตามประเพณีนิยมในทำนองสุภาพ พระราชกฤษฏีกากำหนดวัฒนธรรมซึ่งประชาชนชาวไทยจักต้องปฏิบัติตาม พุทธศักราช 2484 และพราะราชกฤษฎีกา
กำหนดวัฒนธรรมแห่งชาติ พุทธศักราช 2485 ความว่า

“ชาวไทยจักต้องรักษาเกียรติของประเทศชาติในที่สาธารณสถาน หรือที่ปรากฏแก่สาธารณชนภายในเขตเทศบาล ห้ามมิให้แต่งกายในทำนองที่จะทำให้เกียรติ
ของประเทศชาติเสื่อมเสียไป เช่น นุ่งผ้าหยักรั้ง นุ่งแต่กางเกงใน นุ่งกางเกงชนิดสำหรับใส่นอน นุ่งผ้าขาวม้าหรือไม่สวมเสื้อ หรือสตรีสวมแต่เสื้อชั้นใน
หรือมีแต่ผ้าคาดอก เป็นต้น แต่การแต่งกายตามความนิยมอันสุภาพ ณ สถานที่ตากอากาศ สถานที่อาบน้ำ หรือเพื่อเล่นกีฬา หรือตามความจำเป็นในการประกอบ
การงานนั้นให้แต่งตามควรแก่เวลาและสถานที่”

                    แม้ว่าจะมีการนุ่งกระโปรงกันบ้างประปราย แต่ส่วนมากก็ยังนิยมนุ่งโจงกระเบนกันอยู่ รัฐบาลจึงได้วิงวอนให้สตรีไทยเปลี่ยนแปลงการแต่งกาย
ให้สมกับเป็นอารยประเทศโดย ให้สตรีไทยทุกคนไว้ผมยาวตามประเพณีนิยมสมัยโบราณหรือตามสมัยนิยมในขณะนั้น เลิกนุ่งผ้าโจงกระเบน และเลิกใช้ผ้า
คาดอก หรือเปลือยกายท่อนบน ให้เปลี่ยนมาใช้ผ้าถุงอย่างสมัยโบราณหรือสมัยนิยมขณะนั้นและใส่เสื้อแทน ต่อมาได้ขอร้องให้สตรีไทยสวมหมวก นุ่งกระโปรง
และสวมรองเท้า
                การแต่งกายแบบสากลเป็นที่นิยมในหมู่ข้าราชการอยู่แล้ว การนุ่งผ้าม่วงกำลังเสื่อมความนิยม เพราะยุ่งยากสิ้นเปลืองและไม่สะดวก แต่ข้าราชการ
และประชาชนโดยทั่วไปยังคงนิยมนุ่งกางเกงแพรดอกสีต่าง ๆ ออกนอกบ้านอยู่ จึงได้ประกาศชี้แจงให้คำนึงถึงเกียรติของชาติ ไม่แต่งกายตามสบาย และชักชวน
ให้เลิกนุ่งกางเกงแพร โดยอ้างว่าเป็นวัฒนธรรมของจีนอีกด้วย รัฐบาลได้พยายามชี้ให้ประชาชนเห็นว่าการแต่งกายที่สุภาพเรียบร้อย จะมีส่วนช่วยรัฐบาลในการ
ส่งสริม วัฒนธรรมและสร้างชาติ “ด้วยการแต่งกายเป็นระเบียบเรียบร้อยและสุภาพนั้นย่อมเป็นการเชิดชูวัฒนธรรมและเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างชาติให้วัฒนา
ถาวร ฉะนั้นจึงควรที่ประชากรไทยผู้รักชาติจะร่วมใจกันส่งเสริมและปฏิบัติตามรัฐนิยมและประกาศของทางราชการโดยเคร่งครัด ทั้งยังได้กำหนดเครื่อง
แต่งกาย เพื่อเป็นแนวทางให้ประชาชนปฏิบัติตามนี้โดยแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
                    1. เครื่องแต่งกายธรรมดา ได้แก่ เครื่องแต่งกายซึ่งตามปกติใช้ที่ชุมชนหรือสาธารณสถาน
                    2. เครื่องแต่งกายตามโอกาส ได้แก่ เครื่องแต่งกายซึ่งใช้ในการกีฬาหรือสังคมตามควรแก่กาลเทศะ
                    3. เครื่องแต่งกายทำงาน
                        ก. ทำงานทั่วไป ได้แก่ เครื่องแต่งกายซึ่งใช้เพื่อประกอบงานอาชีพตามปกติ
                        ข. ทำงานเฉพาะ ได้แก่ เครื่องแต่งกายซึ่งใช้เพื่อประกอบงานอาชีพบางชนิดโดยให้มีลักษณะเหมาะสมแก่สถานที่และการงานนั้น ๆ ทั้งนี้    

              รวมถึงเครื่องแบบซึ่งทางราชการหรือองค์การอาชีพนั้น ๆ ได้กำหนดไว้ นอกจากนั้นยังได้กำหนดลักษณะหมวกของสตรีไทยว่าควรเป็น
                            หมวกที่อาจทำด้วยฟาง ผ้า แพร สักหลาด ใบลานหรือไม้สานก็ได้ และไม่ควรใช้หมวกที่ทำด้วยวัตถุแวววาวในเวลาเช้าหรือกลางวัน
                            สีของหมวกควรกลมกลืนกับสีของเสื้อผ้า ลักษณะของหมวกต้องไม่มีลักษณะเป็นหมวกชายหาด หมวกใส่นอน หมวกผู้ชายหรือสายรัด
                            คางอย่างเด็ก ๆ ส่วนกระเป๋าถือ ของสตรีนั้นควรให้เข้าชุดกับเสื้อผ้า หรือรองเท้า หรือหมวก หรือเข็มขัด เป็นต้น ไม่ควรให้ใช้วัตถุแวว
                            วาวหรือมีสีเงิน สีทอง ยกเว้นในงานราตรีสโมสร งานพระราชพิธี เป็นต้น
                    สรุปแล้วในสมัยนี้เครื่องแต่งกายของชายควรประกอบด้วย หมวก เสื้อชั้นนอกคอเปิดหรือคอปิด ถ้าเป็นคอเปิดต้องใส่เสื้อชั้นในคอปกมีผ้าผูกคอ

เงื่อนกะลาสีหรือเงื่อนหูกระต่าย กางเกงขายาวแบบสากล สวมรองเท้า ถุงเท้า (จะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้) ใส่เสื้อ นุ่งผ้าถุงหรือกระโปรงซึ่งอาจจะเป็นชิ้นเดียวกัน
หรือ 2 ชิ้นแยกจากกันก็ได้ แต่ในระยะแรกยังคงนิยมนุ่งผ้าถุงกันอยู่เป็นส่วนมาก ต่อมาเมื่อรัฐบาลได้ขอร้องให้นุ่งกระโปรง ประกอบกับอิทธิพลจากตะวันตก
ในหลาย ๆ ด้านที่นำแฟชั่นต่าง ๆเข้ามาทำให้สตรีไทยหันไปนิยมนุ่งกระโปรงตามอย่างสากลกันมากขึ้นดังที่เห็นอยุ่ในปัจจุบันเรื่องการสวมหมวกและนุ่ง
กระโปรงภายหลังเป็นเรื่องบังคับ ผู้ใดฝ่าฝืนต้องถูกปรับ ในช่วงนั้นสตรีชาวบ้านทั่วไปเริ่มหันมานุ่งผ้าถุงหรือกระโปรงกันอย่างแพร่หลายและสวมหมวกกัน
ทั่วทั้งเมือง

                   * นอกจากนั้นรัฐบาลได้กำหนดความหมายของเครื่องแบบแต่งกายแบบต่าง ๆ ไว้ดังนี้ด้วย

เครื่องแบบเต็มยศ        หมายถึง เครื่องแต่งกายที่ใช้ในโอกาสที่เป็นงานพระราชพิธี รัฐพิธี หรืองานสโมสรสันนิบาตใด ๆ ซึ่งมีหมายกำหนดการ คำสั่ง
ะเบียบแบบแผนให้แต่งเครื่องแบบเต็มยศ ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ สวมสายสะพายตามหมายกำหนดเครื่องราช อิสริยาภรณ์
เครื่องแบบครึ่งยศ       หมายถึง เครื่องแต่งกายซึ่งต้องใช้ในโอกาสที่เป็นงานพระราชพิธี รัฐพิธี หรืองานสโมสรสันติบาตใด ๆ ซึ่งมีหมายกำหนดการ คำสั่ง   หรือระเบียบแบบแผน ให้แต่งเครื่องแบบครึ่งยศ ประดับเหรียญตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไม่ต้องสวมสาย
สะพาย (ผู้ที่ไม่มีสายสะพายต้องติด เหรียญตราด้วยเช่นเดียวกับเครื่องแบบเต็มยศ )
เครื่องแบบปกติ           หมายถึง เครื่องแต่งกายซึ่งต้องใช้ในโอกาสที่เป็นงานพระราชพิธี รัฐพิธี หรืองานสโมสรสันนิบาตใด ๆ ซึ่งมีหมายกำหนดการ คำสั่ง ระเบีย แบบแผน หรือคำชักชวนให้แต่งเครื่องแบบปกติ (ติดแถบเครื่องราชอิสริยาภรณ์)
เครื่องราตรีสโมสร      หมายถึง เครื่องแต่งกายต้องใช้สำหรับงานพระราชพิธีหรืองานสโมสรสันนิบาตใด ๆ ซึ่งต้องมีหมายประกาศ คำสั่ง ระเบียบแบบแผน หรือคำชักชวนให้แต่งเครื่องราตรีสโมสร (ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ขนาดย่อ)
เครื่องแต่งกายไว้ทุกข์ หมายถึง เครื่องแต่งกายต้องใช้สำหรับงานพระราชพิธี รัฐพิธี หรืองานที่มีหมายกำหนดการ คำสั่ง ระเบียบแบบแผน หรือคำชักชวนให้แต่งกายไว้ทุกข์
เครื่องแต่งกายธรรมดา หมายถึง เครื่องแต่งกายประจำวันซึ่งใช้สำหรับไปในที่ชุมชนหรือสาธารณสถานในโอกาสที่ไม่ใช่งานพระราชพิธี หรือรัฐพิธี

เครื่องแต่งกายแบบไทย โดยเฉพาะสตรี หมายถึง การนุ่งซิ่น และสวมเสื้อ ซึ่งอาจใช้วัตถุอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
                1. วัตถุที่มีกำเนิดหรือทำขึ้นในประเทศไทย
                2. วัตถุที่มีลวดลายอย่างไทย หรือประดิษฐ์ให้มีลักษณะอย่างไทย
เครื่องแต่งกายสากล สำหรับสตรี หมายถึง การสวมเสื้อ กระโปรง จะเป็นชิ้นเดียวกันหรือมากกว่านั้นก็ได้ สำหรับชายแต่งกายตามแบบสากลนิยม เฉพาะสตรี

นั้นเครื่องแต่งกายเต็มยศ สำหรับงานพระราชพิธี หรือรัฐพิธีให้แต่งกายแบบไทย นุ่งซิ่นยกยาวถึงข้อเท้า เสื้อที่เหมาะสมกับผ้านุ่ง (ถ้าเป็นเวลาเช้าหรือกลางวัน
ไม่ควรใช้แบบที่เปิดคอกว้างนัก ถ้าเป็นเวลาบ่ายหรือกลางคืนจะเปิดกว้างหน่อยก็ได้ ไม่ควรสวมเสื้อไม่มีไหล่หรือแขนเล็กจนเกินไป) สวมถุงเท้ายาว รองเท้าส้นสูง
(สีทอง สีเงิน ตาด ต่วน แพร หรือหนังกลับ ขลิบทอง ขลิบเงินก็ได้) กระเป๋าถือขนาดย่อมที่เข้ากับเครื่องแต่งกาย (สีทอง สีเงิน หรือสิ่งแวววาว เช่น ทำด้วยลูกปัด
หรือดิ้นก็ได้ ) ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ผู้ที่ได้รับพระราชทานสายสะพายต้องสวมสายสะพายตามหมายกำหนดการ สตรีที่เป็นข้าราชการกำหนดไว้
เครื่องแต่งกายเต็มยศ สำหรับงานพระราชพิธี หรือรัฐพิธี มีลักษณะเหมือน เครื่องเต็มยศ แต่ไม่สวมสายสะพาย
เครื่องแต่งกายปกติ สำหรับงานพระราชพิธี หรือรัฐพิธี ก็มีลักษณะเหมือนเครื่องเต็มยศ แต่ไม่ใช้วัตถุที่เป็นเงินทองแวววาวมากเหมือนเครื่องเต็มยศ และไม่

ประดับ เครื่องราชอิสริยาภรณ์
เครื่องแต่งกายราตรีสโมสร สำหรับงานพระราชพิธี ให้แต่งอนุโลมตามแบบเครื่องเต็มยศ หรือครึ่งยศ หรือสากลนิยม ซึ่งอาจจะเปิดไหล่ก็ได้
เครื่องแต่งกายไว้ทุกข์ ให้แต่งสีดำล้วน อนุโลมตามแบบเครื่องเต็มยศ ครึ่งยศ หรือปกติ แต่ไม่ใช้วัตถุแวววาวหรือเงินทองเลย ไม่ประดับอาภรณ์ทุกชนิดมากเกิน

ควรเฉพาะอย่างยิ่งอาภรณ์เป็นสี (เดิมทุกข์หนักในฐานะญาติสนิทใช้สีขาว ผู้อื่นใช้สีสุภาพ คนธรรมดาเพิ่งมาเปลี่ยนเป็นสีดำในรัชกาลที่ 7)

                    สมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช กลับยุคฟื้นฟู “ชุดไทยพระราชนิยม”
  
         โดยทั่วไปนิยมแต่งกายแบบสากลกันแทบทั้งสิ้น แต่ยังมีสิ่งซึ่งแสดงออกแบบไทยเหลืออยู่บ้ง เช่น การนุ่งซิ่น นุ่งผ้าถุง โดยเฉพาะการนุ่งโจงกระเบน
ของคนสูงอายุหรือคนในชนบท ยังพบเห็นอยู่บ้างในสังคมปัจจุบัน สตรีสูงอายุบางคนยังคงนุ่งผ้าโจงกระเบน สวมเสื้อแขนกระบอก และห่มผ้าสไบอยู่อีกเหมือนกัน
การแต่งกายแบบไทยของสตรีได้วิวัฒนาการขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ตามพระราชนิยมของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ

และได้ชื่อว่าเป็นแบบฉบับของเครื่องแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ของไทยที่รู้จักกันทั่วโลก ในนาม ชุดไทยพระราชนิยม ซึ่งมีแบบต่าง ๆ ดังนี้
                1. ไทยเรือนต้น ใช้ผ้าฝ้ายหรือฝ้าไหมมีลายริ้วตามขวางหรือตามยาว หรือใช้ผ้าเกลี้ยงมีเชิงซิ่นยาวจรดข้อเท้า ป้ายหน้า เสื้อใช้ผ้าสีตามริ้วซิ่นหรือ

เชิงซิ่นจะตัดกับซิ่น หรือสีเดียวกันก็ได้ เสื้อคนละท่อนกับซิ่น แขนสามส่วน กว้างพอสบาย ผ่าอกกระดุม 5 เม็ด คอกลมตื้นไม่มีขอบตั้งที่คอ เครื่องประดับตาม
สมควร ใช้ในโอกาสปกติ (เป็นชุดไทยแบบลำลอง) และต้องการความสบาย เช่น งานกฐินเที่ยวเรือ งานทำบุญวันสำคัญทางศาสนา ข้อสำคัญต้องเลือกผ้าที่ใช้
ตัดให้เหมาะกับเวลาและสถานที่
                2. ไทยจิตรลดา ใช้ผ้าไหมเกลี้ยงมีเชิง หรือผ้าทอยกดอกทั้งตัวก็ได้ ตัดเป็นซิ่นยาว ป้ายหน้าเสื้อคนละท่อนกับซิ่น คอกลมมีคอตั้งน้อย ๆ ผ่าอก แขนยาว

ใช้ในโอกาสพิเศษ เช่น งานพระราชพิธีต่าง ๆ หรืองานที่ผู้ชายแต่งเต็มยศ เช่น รับประมุขของประเทศที่มาเยือนเป็นทางการที่สนามบินดอนเมือง ไม่ต้องประดับ
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ แต่เนื้อผ้าควรงดงามให้มากน้อยเหมาะสมกับโอกาสที่แต่ง
                3. ไทยอมรินทร์ แบบเหมือนไทยจิตรลดาต่างกันที่ใช้ผ้าและเครื่องประดับหรูหรากว่าไทยจิตรลดาเพราะเป็นชุดพิธีตอนค่ำ ใช้ผ้ายกไหมที่มีทองแกม

หรือยกทองทั้งตัว เสื้อคนละท่อนกับซิ่น ไม่มีเข็มขัด ผู้มีอายุจะใช้คอกลมกว้าง ๆ ไม่มีขอบตั้งแขนสามส่วนก็ได้ เพราะความสวยงามอยู่ที่เนื้อผ้าและเครื่องประดับ
ที่จะใช้ให้เหมาะสมกับงานเลี้ยงรับรอง รับเสด็จ ไปดูละครตอนค่ำ และเฉพาะในงานพระราชพิธีสวนสนาม ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ประดับเครื่องราช
อิสริยาภรณ์ หรือใช้ในโอกาสพิเศษที่กำหนดให้แต่งกายเต็มยศหรือครึ่งยศ เช่น ในงานพระราชพิธี หรืองานสโมสรสันนิบาต
                4. ไทยบรมพิมาน คือชุดไทยพิธีตอนค่ำ ใช้ผ้ายกไหมหรือยกทองมีเชิง หรือยกทองทั้งตัวก็ได้ตัดติดกันกับเสื้อ ซิ่นจีบหน้ามีชายพก ยาวจรดข้อเท้า

ใช้เข็มขัดไทยคาด เสื้อคอกลม ปกตั้ง ผ่าด้านหลังหรือด้านหน้าก็ได้ แขนยาว ใช้เครื่องประดับงดงามพอสมควร เหมาะสำหรับงานพิธีเต็มยศและครึ่งยศ เช่น
งานอุทยานสโมสร งานพระราชทานเลี้ยงอาหารอย่างเป็นทางการ หรือเป็นชุดเจ้าสาว
                5. ไทยจักรี หรือชุดไทยสไบ นุ่งผ้ามีเชิงหรือยกทั้งตัว ยกจีบข้างหน้า มีชายพก ใช้เข็มขัดไทยคาด ท่อนบนเป็นสไบจะเย็บติดกับซิ่นเป็นท่อนเดียวกัน

หรือจะมีสไบห่ม ต่างหากก็ได้ เปิดบ่าข้างหนึ่ง ชายสไบคลุมไหล่ ทิ้งชายด้านหบังยาวตามที่เห็นสมควร (ความสวยงามอยู่ที่เนื้อผ้า การเย็บและรูปทรงของผู้สวม)
ใช้เครื่องประดับให้งดงามตามโอกาสในเวลากลางคืน ชุดนี้ใช้ในโอกาสพิเศษที่กำหนดให้แต่งกายเต็มยศสำหรับอากาศที่ไม่เย็น
                6. ไทยจักรพรรดิ ใช้ซิ่นไหมหรือยกทองจีบหน้ามีชายพก เอวจีบ ใช้เข็มขัดไทยคาด ห่มแพรจีบแบบไทย สีตัดกับผ้านุ่งเป็นชั้นที่หนึ่งก่อน แล้วจึงใช้

สไบปักอีกชั้นหนึ่ง (มีสร้อยตัวด้วย) ใช้ในโอกาสพิเศษที่กำหนดให้แต่งกายแบบเต็มยศ เช่นเดียวกับชุดไทยจักรี
                7. ไทยดุสิต ใช้ผ้ายกไหมหรือยกทอง จีบหน้ามีชายพก จีบเอว ใช้เข็มขัดไทยคาด เช่นเดียวกับไทยจักรพรรดิ ต่างกันที่ตัวเสื้อคือใช้เสื้อคอกว้าง

(คอด้านหน้าและหลัง คว้านต่ำเล็กน้อย ไม่มีแขน เป็นเสื้อผ่าหลัง และปักเป็นลวดลายด้วยไข่มุก ลูกปัดหรือเลื่อมใช้ในงานพระราชพิธีที่กำหนดให้แต่งกายเต็มยศ
บางท่านเรียกการแต่งกายชุดนี้ว่าชุดไทยสุโขทัย
                8. ไทยศิวาลัย ใช้ซิ่นไหมหรือยกทอง มีชายพก ตัวเสื้อใช้ผ้าสีทองเหมือนสีเนื้อ แขนยาว คอกลม มีขอบตั้ง ผ่าหลัง เย็บติดกับผ้าซิ่นคล้ายแบบไทย

บรมพิมานแต่ห่มผ้า ปักลายไทยแบบไทยจักรพรรดิ โดยไม่ต้องมีแพรจีบรองพื้นก่อน ใช้ในโอกาสพิเศษที่กำหนดให้แต่งกายเต็มยศ
  
       9. ไทยประยุกต์ เป็นชุดที่ดัดแปลงมาจากชุดไทยจักรี นิยมใส่กันมาก ใช้ผ้ายกมีเชิงหรือยกทั้งตัว ซิ่นจีบหน้านาง มีชายพก คาดเข็มขัดไทย ท่อนบนเป็น
เสื้อคอกลม คอกว้าง หรือคอแหลม ไม่มีแขนเหมือนกับเสื้อราตรีปกติ ตัวเสื้อนิยมปักเลื่อม ลูกปัด ตกแต่งให้สวยงามตามใจชอบ ใช้ในงานตรีสโมสรหรือสำหรับ
เจ้าสาวสวมตอนเลี้ยงกลางคืนก็ได้

queen.JPG (9733 bytes)

queen1.JPG (11668 bytes) queen2.JPG (11256 bytes) queen3.JPG (9819 bytes)
ชุดฉลององค์วันราชาภิเษกสมรส

ชุดไทยจักรพรรดิ

ชุดไทยบรมพิมาน

ชุดไทยศิวาลัย

queen4.JPG (10900 bytes)

queen5.JPG (10645 bytes)

queen6.JPG (12814 bytes)

ชุดไทยดุสิต

ชุดไทยจักรี

ชุดไทยจักรี

         
                 สำหรับสตรีไทยมีชุดไทยพระราชนิยมซึ่งได้ยึดถือเป็นแบบเสื้อชุดไทยอยู่แล้ว ส่วนแบบเสื้อของไทยที่เป็นชุดไทยยังไม่มีจึงได้มีการคิดค้นแบบเสื้อ
ของชายไทยขึ้นเรียกว่า ชุดพระราชทาน ผู้ที่แต่งเป็นคนแรก คือ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ (ขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม)
ลักษณะเป็นเสื้อคอตั้งเหมือนเสื้อราชปะแตน ไม่มีปก ตัวเสื้อเข้ารูปเล็กน้อย ผ่าอกตลอด มีสาบกว้างพอประมาณ 3.5 ซม. ติดกระดุม 5 เม็ด ขลิบรอบคอ สาบอก
ขอบแขน และปากกระเป๋า มีกระเป๋าอยู่ด้านใน 2 ใบ (ด้านล่าง) กระเป๋าบนจะมีหรือไม่ก็ได้ ถ้ามีให้เป็นกระเป๋าเจาะข้างซ้าย 1 กระเป๋า ชายเสื้ออาจผ่ากันตึง
เส้นรอยตัดต่อมีหรือไม่มีก็ได้ ถ้ามีให้เดินจักรทับตะเข็บ แบบเสื้อจะเป็นแขนสั้นหรือแขนยาวก็ได้ แต่ใช้ในโอกาสต่างกัน กล่าวคือ พระราชทานแขนสั้นเสื้อใช้
สีเรียบจาง หรือมีลวดลายสุภาพ ใช้ในโอกาสธรรมดาทั่วไป ปฏิบัติงาน หรือในพิธีการเวลากลางวัน และอาจใช้สีเข้มในงานพิธีการเวลากลางคืน ส่วนชุดแขนยาว
เสื้อใช้สีเรียบจาง หรือมีลวดลายสุภาพ ใช้ในพิธีเวลากลางวันและอาจใช้สีเข้มในพิธีการเวลากลางคืน ถ้ามีผ้าคาดเอวด้วย ควรผูกเงื่อนแน่นทางซ้ายมือของผู้สวม
ใส่และใช้ในพิธีที่สำคัญมาก ๆ ถ้าไปในงานศพจะใช้เสื้อสีขาวแขนสั้นหรือแขนยาวก็ได้ กางเกงสีดำ หรือจะเป็นสีขาวทั้งชุด หรือสีดำทั้งชุดก็ได้
                เสื้อชุดพระราชทานนี้ใช้ควบคู่กับกางเกงแบบสากลนิยม สีสุภาพหรือสีเดียวกันกับเสื้อ โดยให้ใช้แทนชุดสากลนิยม หรือเสริมเพิ่มเติมจากชุดสากล

นิยมได้ทุกโอกาส แต่มิใช่เป็นการทดแทนชุดสากลนิยมโดยสิ้นเชิง เสื้อชุดไทยพระราชทานนิยมนี้ในวงการแฟชั่นชายยุคสมัยรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
อย่างมาก จากนั้นก็คลี่คลายมาแต่งสากลนิยมแบบฝรั่งทั้งในหมู่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และนักธุรกิจ ตามที่พบเห็นทั่วไปทุกวันนี้ ขณะที่ชุดไทยพระราชนิยมนั้น
ยังเป็นชุดประจำชาติที่สตรีทั่วไปนิยมสวมในงานรัฐพิธีและโอกาสสำคัญต่าง ๆ อยู่ การแต่งกายตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์ถึงปัจจุบน ไม่สามารถระบุให้ชัดเจนได้ว่า
มีมาตรฐานอย่างใดเพราะได้มีวิวัฒนาการผสมผสานระหว่างของเก่ากับของใหม่เข้าด้วยกันมาโดยตลอด ส่วนในปัจจุบันคนรุ่นใหม่ก็รับเอาสิ่งใหม่ ๆ
มาใช้คนรุ่นเก่าหรือผู้มีอายุยังคงแต่งและใช้แบบเดิม ซึ่งมีอยู่เป็นส่วนน้อย เช่น การนุ่งโจงกระเบน ปัจจุบันไม่นิยมนุ่งกันแล้วก็ยังมีหลงเหลืออยู่บ้างตามชนบท
อาจเป็นเพราะนุ่งซิ่น นุ่งกระโปรงไม่ถนัด จึงคงนุ่งโจงกระเบนไปทำบุญที่วัด ไปงานแต่งงาน งานศพ เป็นต้น
                การเปลี่ยนแปลงเครื่องแต่งกายจะเริ่มจากในราชสำนักก่อนแล้วจึงแพร่หลายมาสู่ราษฎรทั่วไป เป็นการเปลี่ยนอย่างที่เรียกว่า ค่อยเป็นค่อยไป

จะสังเกตเห็นว่าคนชั้นสูงจะเป็นผู้นำในการแต่งกายมาทุกยุคสมัย ในสมัยก่อน ราษฎรทั่วไปตั้งแต่เด็ก สาว และผู้ใหญ่ นิยมนุ่งโจงกระเบนด้วยผ้าลาย
ซึ่งผ้าลายใหม่ ๆ นั้นแข็งมาก เวลาเดินเสียดสีที่ขาทำให้เป็นแผล ผู้สูงอายุมักไม่ยอมนุ่ง ผ้าที่ใช้นุ่งอีกอย่างหนึ่งเป็นผ้าพื้นทอในเมืองไทย เช่น ผ้าพื้นอ่างศิลา
(ชลบุรี) สาว ๆ ไม่ค่อยนิยมนุ่งผ้าพื้น มักนุ่งแต่สตรีที่มีอายุมาก ๆ หรือคนแก่ ยังมีผ้าที่ใช้นุ่งประจำอย่างนุ่งโจงกระเบนโดยมากใช้นุ่งทำงานบ้าน ทำสวน
นุ่งอาบน้ำ เป็นต้น ส่วนท่อนบนของร่างกายมักนิยมใช้ผ้าแถบคาดอก คนแก่หรือสาว ๆ ที่มีลูกเพียงคนสองคนก็มักจะเปลือยอกปฏิบัติกันอย่างนี้เรื่อยมา
จะมีการเปลี่ยนแปลงบ้างในคนบางกลุ่มเท่านั้น จนมาถึงรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม นโยบายสร้างชาติในทางวัฒนธรรม ได้กำหนดประเพณีนิยมต่าง ๆ
ที่เรียกว่า รัฐนิยม รัฐบาลในสมัยนั้นได้ประกาศชักชวนเป็นครั้งเป็นคราวตามโอกาสอันควร มีทั้งหมด 12 ฉบับ โดยเฉพาะรัฐนิยมฉบับที่ 10 ที่ว่าด้วยการแต่งกาย
ของประชาชนชาวไทย ประกาศเมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2484 รวมทั้งพระราชบัญญัติ และประกาศต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องการแต่งกายทำให้รูปแบบการแต่งกาย
ของ ไทยหันไปนิยมแบบตะวันตกมากขึ้น จนกระทั่งยึดถือการแต่งกายแบบนี้กันหมดและเปลี่ยนแปลงไปตามแฟชั่นของตะวันตกที่หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันเข้ามา
แต่ก็ยังเป็นร่องรอยของคนรุ่นเก่าอยู่บ้าง เช่น ยังพบเห็นคนชราตามชนบทนุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อแขนกระบอกทำงานอยู่ก็มี
            คนสมัยก่อนมีเสื้อผ้าไม่กี่ชุด ไม่ตัดกันบ่อย ๆ เหมือนสมัยนี้ จะสวมเสื้อผ้าใหม่ไปประกวดประขันกันต่อเมื่อถึงเทศกาลต่าง ๆ ตามต้องการล่วงหน้าหลายวัน

สิ่งที่ใช้ย้อมโดยมากเป็นพันธุ์ไม้ มีลูกพุด (สีจำปา) ลูกคำ (สีแสด) ขมิ้นชัน (สีเหลือง) ก้านกอกรรณิกา (สีแดง) ใบยอ (สีเขียว) และใบแค (สีเขียวอ่อน) เมื่อผ้าที่ย้อม
แห้งแล้วนำมาบรรจุในหีบปัดหรือขวดโหลขนาดใหญ่หรือภาชนะที่เหมาะสม อบด้วยควันเทียน กำยาน เครื่องหมายและดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม ได้แก่ ดอกพิกุล
ดอกมะลิ ดอกสารภี ดอกลำเจียก เป็นต้น

Back

จากหนังสือ “ศิลปวัฒนธรรม” ฉบับเดือนสิงหาคม 2540 หน้า 87-109

แล่งที่มา  http://cul.hcu.ac.th/wear.htm

 

 

 

 

วีดีทัศน์เทศกาลการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านนานาชาติครั้งที่ 1/2

 

 แหล่งที่มา...http://www.srru.ac.th/org/siff/video.php
 
 

 

ชุดประจำชาติ( เอเชีย)ประยุกต์

 
 
 
 
 
 

l

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                                                                                  
ผลงานการออกแบบเสื้อประยุกต์การแต่งกายประจำชาติ(เอเชีย)

ผลงานการออกแบบเสื้อประยุกต์ 

การแต่งกายประจำชาติ(ตะวันออกกลาง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

   


 

 

 

 

 

 


คลิ๊กนี้มีความหมาย